การจะเช็คหรือตรวจสอบรถยนต์ว่าใช้งานดีหรือเปล่า ผิดปกติหรือเปล่า การจะดูแค่การแจ้งเตือนบนหน้าปัดรถยนต์บางครั้งก็อาจไม่เพียงพอ เพราะอาจมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สามารถแจ้งเตือนให้เราทราบได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงมีการพัฒนาสิ่งที่ช่วยแจ้งข้อมูลเบื้องต้นให้กับคนใช้รถได้ทราบ นั่นก็คือ OBD
OBD คืออะไร?
OBD (On-board Diagnostic) อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ จิ๋วแต่แจ๋ว เป็นการพัฒนาโค้ดที่สามารถแจ้งเตือนให้ทราบเกี่ยวกับการทำงานของรถยนต์ ซึ่งได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งจะมีลักษณะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อจำนวน 16 พิน อยู่ในบริเวณใต้คอนโซลรถยนต์ฝั่งคนขับ ซึ่งหากเป็นรถยนต์รุ่นปีใหม่ๆ จะมีพอร์ตนี้มาให้ทุกคัน แต่ถ้าหากเป็นรุ่นเก่าหน่อยอาจหาไม่เจอ ซึ่งสามารถตรวจดูรถของเราได้ว่ามีหรือเปล่า และปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปถึง OBD2 OBD3
หน้าที่ของ OBD
เป็นตัวบอกค่าต่างๆ เบื้องต้น ที่สามารถวิเคราะห์สภาพของรถได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเราสามารถดูข้อมูลได้ละเอียดและหลากหลายมาก เช่น ความเร็วในการขับขี่ ค่าความร้อน ค่าโวลต์แบตเตอรี่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของมาตรฐานมลพิษทางไอเสีย โดยที่หากมีค่าไอเสียผิดปกติ จะมีไฟแจ้งเตือนที่หน้าปัดทันที อีกทั้งยังสามารถเช็คโค้ดได้ด้วยตัวเอง เช่น รู้สึกว่าเครื่องยนต์มีอาการผิดปกติแต่ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด จะสามารถกดเช็คโค้ดได้ และนำโค้ดนั้นไปค้นหาว่าเป็นความผิดปกติจากส่วนไหน เพื่อที่จะได้ป้องกันและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งในกรณีที่ช่างนำไปใช้ประโยชน์กันก็คือ สามารถนำไปตรวจเช็คและปรับแต่งการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วิธีการใช้งาน OBD
- เสียบอุปกรณ์ OBD เข้ากับพอร์ตในรถยนต์ บริเวณใต้คอนโซลรถฝั่งคนขับ
- โหลด application มือถือ เพื่อใช้สำหรับแสดงค่าที่อ่านได้ ซึ่งสามารถค้นหาคำว่า OBD ได้เลยจะมีหลายแอพให้เลือก โดยจะมีสองส่วนหลักๆ คือ ส่วนที่ใช้แสดงค่า เช่น Torque และส่วนที่เอาไว้สำหรับอ่านค่าโค้ด เช่น OBD โค้ดไทย เป็นต้น
- ใช้งานโดยการเชื่อมต่อสัญญาณ Bluetooth และแอพจะสามารถแสดงผลได้ทันทีตลอดการใช้รถ ซึ่งเราสามารถเลือกเมนูได้หลากหลายว่าต้องการดูข้อมูลอะไร เช่น ค่าความเร็ว ค่าความร้อน รอบเครื่อง เป็นต้น
แค่เพียงเจ้าอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ในราคาไม่กี่ร้อยก็สามารถเพิ่มประโยชน์ในการใช้งานของเราได้มากมายเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว สำหรับคนมีรถ มี OBD ติดรถไว้สบายใจกว่าแน่นอน