หนึ่งสิ่งสำคัญในการดูแลรถก็คือความร้อนรถยนต์ เวลาขับรถต้องคอยดูว่าความร้อนยังอยู่ในอุณหภูมิปกติ หากความร้อนขึ้นสูงผิดปกติจะได้รีบแก้ไขให้ทันการณ์ ไม่อย่างนั้นปล่อยทิ้งไว้ไม่ดีต่อรถแน่ๆ แต่การจะดูว่า ความร้อนรถยนต์ ระดับไหนปกติ ระดับไหนที่ควรต้องระวัง ควรเช็คอย่างไร
วิธีดูเกจ์ความร้อน
ก่อนอื่นต้องดูเกจ์ความร้อนให้เป็น ซึ่งรถบางชนิดอาจมีเกจ์ความร้อนที่แสดงผลแตกต่างกันไป ดังนี้
- แบบเข็ม – เป็นเข็มชี้อยู่ระหว่างตัวอักษร C (Cool) และ H (Hot) บางครั้งก็มีตัวเลขบอกจำนวนอุณหภูมิกำกับไว้ โดยรถยนต์ส่วนใหญ่มักจะเป็นเกจ์ชนิดนี้
- แบบไฟเตือน – ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีการปรับการแสดงผลให้ทันสมัยขึ้น โดยมีเป็นไฟแจ้งเตือน เป็นสีเขียวหรือฟ้า และ ไฟสีแดง
- อุปกรณ์ต่อเพิ่ม แบบไฟดิจิตอล – รถบางคันจะมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่อเพิ่มเพื่อวัดอุณหภูมิความร้อนโดยตรง และมีการแสดงผลเป็นตัวเลขดิจิตอล จึงสามารถทราบอุณหภูมิความร้อนได้แม่นยำกว่า
- อุปกรณ์ต่อเพิ่ม OBDII – เป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ เสียบปลั๊กเข้ากับตัวรถยนต์ แล้วดูการแสดงผลผ่านหน้าจอแอพพลิเคชั่น ซึ่งนอกจากจะแสดงค่าความร้อนแล้ว ยังสามารถอ่านค่ารถยนต์ได้อีกมากมาย
ความร้อนรถยนต์ ระดับไหนปกติ
- แบบเข็ม – หากเป็นแบบเข็มวัด ควรชี้อยู่ก่อนกึ่งกลาง หรือเลยกึ่งกลางมาเล็กน้อย ไม่อยู่ในพื้นที่ขีดสีแดงหรือ H
- แบบไฟเตือน – โดยปกติไฟเตือนจะมีสีเขียวหรือสีฟ้า แล้วแต่หน้าปัดของรถแต่ละรุ่น หากความร้อนขึ้นสูงจะขึ้นเตือนเป็นสีแดง
- แบบไฟดิจิตอล และ OBDII – จะแสดงผลเป็นตัวเลขแจ้งอุณหภูมิชัดเจน ซึ่งอุณหภูมิปกติจะอยู่ระหว่าง 80-90 องศาเซลเซียส ทั้งนี้รถแต่ละคันจะมีระดับอุณหภูมิที่ไม่เท่ากัน ให้สังเกตดูว่ารถของเราวิ่งปกติอยู่ที่อุณหภูมิเท่าไหร่ เช่น ประมาณ 83-85 ตลอด แล้วอยู่ๆ สูงกว่า 85 ไปถึง 90 แสดงว่าไม่ปกติ
เกจ์แสดงผลแบบไหนที่ควรระวัง
- แบบเข็ม – เมื่อเข็มวัดชี้สูงเกินกว่ากึ่งกลางมากๆ หรือสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปจนใกล้ H แสดงว่าความร้อนขึ้น
- แบบไฟเตือน – ไปเตือนเป็นสีแดง ไฟกระพริบถี่ๆ
- แบบไฟดิจิตอล และ OBDII – อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิที่รถวิ่งปกติ เช่น วิ่งไปแตะ 90 กว่าองศาเซลเซียสแล้วไม่ลด ก็เริ่มไม่น่าไว้วางใจแล้ว
นอกจากการเช็คระดับความร้อนในรถยนต์ อย่าลืมดูแลหม้อน้ำรถยนต์ด้วยการเติมน้ำยาหล่อเย็น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนให้ดียิ่งขึ้น