ก่อนจะมาทำความรู้จักกับ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ มารู้จักกับระบบพวงมาลัยเพาเวอร์กันก่อน ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยทดกำลังหมุนพวงมาลัย ทำให้เราสามารถหมุนพวงมาลัยได้ง่ายและเบาขึ้นโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ เป็นการช่วยผ่อนแรงให้กับคนขับรถได้เป็นอย่างดี ดังนั้นน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการทำงานของพวงมาลัยที่เราควรรู้
น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ (Power Steering Fluid)
ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์นั้นแบ่งออกเป็นสองชนิดหลักๆ คือ ระบบไฮดรอลิค และระบบไฟฟ้า ซึ่งหากจะพูดถึงในยานยนต์ชนิดที่เป็น ระบบไฮดรอลิค ต้องการน้ำมันที่ใสเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังจากพวงมาลัยไปสู่คันชัก-คันส่งเพื่อให้เลี้ยวรถได้เบาแรง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จะแนะนำให้ใช้น้ำมันเกียร์อัตโนมัติหรือน้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 10W สามารถใช้เป็นน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ได้ โดยต้องไม่ปะปนกันกับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
จุดสังเกตพวงมาลัยหนัก
ข้อสังเกตหากรู้สึกว่าพวงมาลัยหนัก ไม่สามารถบังคับได้คล่องตัวแบบที่เคย สำหรับระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิคนั้น จะมีข้อสังเกตได้ดังนี้
- อาจจะเกิดจากระดับน้ำมันต่ำเกินไป ควรหมั่นเช็คและเติม น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ให้อยู่ในระดับปกติและหมั่นตรวจสอบอยู่เรื่อยๆ
- น้ำมันรั่วซึม ส่งผลให้น้ำมันไม่พอในระบบทำให้พวงมาลัยหนัก อาการแบบนี้อาจต้องตรวจเช็คระบบว่ารั่วซึมที่ตรงไหนจะได้แก้ไขทันการ แล้วอย่าลืมเติมน้ำมันที่มีคุณภาพเพื่อให้พวงมาลัยใช้งานได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ
วิธีถนอมการใช้งานพวงมาลัยให้ใช้ได้นานๆ
- อย่าหมุนพวงมาลัยไปทางขวาสุด หรือซ้ายสุดค้างไว้นานๆ เพราะจะทำให้น้ำมันเพาเวอร์มีความร้อนและแรงดันสูง จนทำให้ระบบของพวงมาลัยเกิดความเสียหายได้ ซึ่งถ้าหากหมุนไปจนสุดแล้วก็ต้องคืนพวงมาลัยลงมานิดหน่อย เพื่อลดแรงดันของน้ำมันไฮดรอลิกในระบบ
- อย่าหมุนพวงมาลัยเพื่อปีนข้ามฟุตบาทหรือขอบทาง เพราะการใช้งานผิดประเภท ทำให้มอเตอร์ทำงานหนักเกินความจำเป็น อาจเกิดความร้อนสูงจนมอเตอร์ไหม้ หรือทำให้ท่อน้ำมันเพาเวอร์รั่วได้ หากต้องเจอกับสิ่งกีดขวาง สามารถลดความเสี่ยงโดยให้รถได้เคลื่อนที่เล็กน้อยก่อน แล้วค่อยหมุนพวงมาลัยเพื่อช่วยลดความฝืดระหว่างยางกับถนน รวมทั้งช่วยลดการทำงานของระบบเพาเวอร์ และที่สำคัญคือเมื่อจอดรถแล้วก็ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อตั้งตรงทุกครั้ง