วิธีใช้งานปุ่ม Push Start ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน! ในรถรุ่นเก่า ยังคงต้องใช้กุญแจบิดเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ล๊อคหรือปลดล๊อคประตูรถ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน จะมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาปรับแต่ง ให้รถมีความทันสมัยมากขึ้น ตั้งแต่การสตาร์ทรถ โดยไม่ต้องเสียบกุญแจ ที่เรียกว่า “ปุ่มPush Start”
การทำงานของระบบ Push Start
ปุ่มPush Start คืออะไร? คือปุ่มกดที่ทำหน้าที่เสมือนกับกุญแจรถ ใช้เปิดระบบภายในรถยนต์ และสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยที่ไม่ต้องใช้กุญแจเสียบเพื่อบิดสตาร์ท ปุ่มPush Start จะทำงานควบคู่กับกุญแจ ลักษณะคล้ายรีโมท เรียกง่ายๆว่า Smart Key ระบบของรถจะมีการซิ้งค์ เชื่อมโยงกันระหว่างตัวรถ กับตัว Smart Key โดยผู้ใช้งานจะต้องมี Smart Key อยู่ในรถด้วยถึงจะสามารถใช้งานฟังค์ชั่น และสตาร์ทรถได้
วิธีใช้งานปุ่ม Push Start ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!
- กดปุ่มPush Start 1 ครั้ง
เมื่อกดปุ่มPush Start 1 ครั้ง จะสามารถเปิดวิทยุฟังเพลงได้ โดยเครื่องยนต์จะยังไม่มีการสตาร์ทเกิดขึ้น
- กดปุ่มPush Start ครั้งที่ 2
เมื่อกดปุ่มPush Start ครั้งที่ 2 จะสามารถใช้งานระบบไฟฟ้าของรถได้ เช่น กระจกไฟฟ้าที่ประตู ตรวจเช็คไฟสถานะต่างๆ ที่แผงหน้าปัดได้
- กดปุ่มPush Start ครั้งที่ 3
เมื่อกดปุ่มPush Start ครั้ง 3 จะเป็นการปิดระบบไฟ แต่ถ้ามีการเหยียบเบรคด้วย แล้วกดปุ่มPush Start ก็จะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์นั่นเอง
ข้อดี-ข้อเสีย ของ Push Start
ข้อดี
- สะดวกสบาย และง่ายต่อการใช้งาน ไม่ต้องคอยก้มหารูเสียบกุญแจรถ โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- รถยนต์ที่มีปุ่มPush Start จะมีตัว Smart Key มาให้ใช้งานด้วยเช่นกัน อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า ตัว Smart Key ก็คือ เสมือนรีโมทกุญแจ ที่ใช้เปิด-ล๊อคประตูรถ โดยไม่ต้องเสียบรูกุญแจที่ประตู และการสตาร์ททุกครั้ง Smart Key ก็ต้องอยู่ในรถด้วยเช่นกัน
- รถที่เป็นระบบPush Start และ Smart Key จะมีระบบความปลอดภัยอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า Immobilizer หรือระบบกันขโมย การทำงานกล่อง ECU จะจำแต่โค๊ดของ Smart Key รถคันนั้นๆไว้ หากไม่มีการนำ Smart Key เข้ามาในรถหรือในระยะสัญญาณ รถจะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้
ข้อเสีย
- อายุการใช้งานของปุ่มPush Start จะมีน้อยกว่าการใช้งานแบบกุญแจบิดสตาร์ท เพราะมีการใช้ระบบไฟฟ้าและเซนเซอร์ต่างๆ ที่เกิดความเสียหายได้ง่าย
- หากตัว Smart Key หายขณะขับรถ เมื่อถึงที่หมาย เราสามารถดับเครื่องยนต์ได้ แต่จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้งได้ และหากเปิดประตูรถ ระบบ Smart Key จะมีการแจ้งเตือนด้วยเสียง
- ตัว Smart Key จะมีราคาค่อนข้างสูง
แบตเตอรี่ Smart Key
ภายในตัว Smart Key จะมีแบตเตอรี่อยู่ 1 หรือ 2 ก้อน แล้วแต่รุ่นของรถยนต์นั้นๆ ซึ่งแบตเตอรี่จะใช้งานอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ล๊อค กับ ปลดล๊อค ประตูทุกบาน โดยการกดที่รีโมทกุญแจรถ ส่วนที่สอง คือ ใช้เป็นแหล่งพลังงานในการสื่อสารกับตัวรถยนต์ เมื่อเข้าไปภายในรถและใช้งานปุ่มPush Start
หากมีใช้งานมาเป็นเวลานาน แล้วแบตเตอรี่ Smart Key เกิดหมด ก็ไม่ต้องกังวล ว่าจะไม่สามารถเปิดรถของเราได้ เพราะในตัวของกุญแจ Smart Key จะมีกุญแจเสียบซ่อนอยู่ด้านใน สามารถดันสลักดึงออกมาได้ ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยสังเกต พอเข้ารถได้แล้ว หากต้องการสตาร์ทรถ ก็เพียงแค่นำตัวกุญแจ Smart Key เข้าไปทาบใกล้กับปุ่มPush Start จากนั้นก็เหยียบแป้นเบรคค้างไว้ แล้วกดปุ่มเพื่อสตาร์ทได้เลย หากต้องการเปลี่ยนแบตเตอรี่ Smart Key ใหม่ แนะนำติดต่อที่ศูนย์บริการของรถนั้นๆ ไม่แนะนำให้ซื้อเปลี่ยนเองตามร้านทั่วไป เพราะค่าการจ่ายกระแสไฟหรือค่าการเก็บประจุจะไม่เท่ากัน หากเปลี่ยนมาอาจไม่สามารถใช้งานได้