วิธีตรวจเช็ค รถมือสอง ก่อนซื้อ? รถยนต์ เป็นสิ่งที่หลายๆคนใฝ่ฝันอยากจะมีเอาไว้ครอบครอง แต่ด้วยปัจจัยเรื่องของราคา อาจสูงเกินที่จะรับไหว รถมือสองจึงเป็นตัวเลือกที่ดี ยิ่งต้องมาเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดอย่าง โควิด-19 เข้าไปอีก รถมือสองจึงอาจเป็นที่ต้องการมากขึ้น หลายคนอาจคิดว่าการที่จะซื้อรถมือสองสักคัน เป็นเรื่องที่ยาก ไม่รู้ว่าจะตรวจสอบ ตรวจเช็คยังไง ต้องดูอะไรบ้าง? น้องยูคอน วิธีตรวจเช็ครถมือสองก่อนซื้อ มาแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อ มาดูกันเลย
วิธีตรวจเช็ค รถมือสอง ก่อนซื้อ
- ดูปีของรถ
เริ่มต้นจากการ ดูปีของรถ คันที่เราสนใจ หรือต้องการซื้อ ซึ่งควรจะดูจากปีที่ผลิต ไม่ใช่ปีที่จดทะเบียน เพื่อประเมินสภาพคร่าวๆ ของตัวรถ ว่ามีอายุการใช้งานมาทั้งหมดกี่ปี
- สภาพภายนอกรถยนต์
เป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็น รอยเฉี่ยวชน, รอยบุบ, รอยสนิม, การทำสี, ชิ้นส่วนต่างๆภายนอก ว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พร้อมใช้งานหรือไม่ รวมถึงดูแชสซีของตัวรถ(สภาพโครงสร้างรถยนต์) ได้จากพื้นที่จัดเก็บสัมภาระด้านท้าย ว่ามีการดัด คดงอ และซ่อมตัวถังมาหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน
- สภาพภายในรถยนต์
เริ่มจากเช็คสภาพของแผงคอนโซลว่ามี รอยแตก รอยแยก รอยชำรุดต่างๆหรือไม่ หน้าปัดเรือนไมล์ ต้องแสดงผลได้ครบทุกตำแหน่ง เช็คระบบปรับอากาศว่าเย็นปกติ หรือมีกลิ่นหรือไม่ ต่อมาจะเป็นการตรวจเช็คระบบไฟฟ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทั้งกระจกไฟฟ้า(ถ้ามี), ระบบเครื่องเสียง, ระบบเซ็นเซอร์, ระบบเซ็นทรัลล็อค พยายามเช็คให้ครบทั้งหมด รวมถึงสภาพของเบาะนั่ง ว่ามีรอยแตก รอยฉีกขาดหรือไม่ และกลิ่นภายในห้องโดยสารต้องไม่มีกลิ่นที่อับชื้น หรือเชื้อราบริเวณชุดพรมรองพื้น
- ตรวจสอบเลขไมล์รถยนต์
โดยเฉลี่ยแล้วระยะทางต่ออายุการใช้งาน 1 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 กม./ปี ซึ่งอาจต้องดูปัจจัยโดยรวม ให้สมเหตุสมผลกัน เช่น ตัวรถสภาพสมบูรณ์ และเลขไมล์น้อย แต่หากตัวรถมีสภาพผ่านการใช้งาน แต่เลขไมล์น้อย อันนี้ควรระวังอย่างยิ่ง หรืออีกหนึ่งวิธี คือการ เปรียบเทียบเลขไมล์ กับปีของรถ ก็อาจบ่งบอกได้ว่า รถยนต์คันนั้นมีการใช้งานมากน้อยเพียงใด
- เครื่องยนต์
เครื่องยนต์ คือหัวใจหลักของรถยนต์ หลักการตรวจเช็คง่ายๆ คือ ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ (แนะนำให้สตาร์ทตอนเครื่องเย็น) สังเกตเบื้องต้นว่า การสตาร์ท เสียงตอนสตาร์ทเป็นปกติหรือไม่ (แนะนำให้เปิดฝากระโปรงหน้า) รวมถึงสังเกตรอบเดินเบาของเครื่องยนต์ว่า นิ่งหรือไม่ มีอาการสั่น หรือกระตุกหรือไม่ หากตรวจสอบแน่ใจแล้วว่า ทุกอย่างปกติ ให้ทำการดับเครื่อง ตรวจเช็คสภาพของสายพาน, แบตเตอรี, ขั้วแบตเตอรี่, รวมถึงระดับและสภาพของเหลวต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำหล่อเย็น ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่มีคราบน้ำมันรั่วซึม หรือหยดลงที่พื้น
- ตรวจสอบช่วงล่าง
สำหรับการตรวจสอบช่วงล่าง ถ้าสามารถตรวจสอบได้ ควรดำเนินการ เพราะต้องใช้อุปกรณ์ในการยกรถขึ้น เพื่อเช็คใต้ท้องรถ เช่น โช๊คอัพ ว่ามีความแน่น หรือมีรอยน้ำมันรั่วซึมออกมา ที่กระบอกโช๊คหรือไม่ สิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบต่อมา คือ ยางรถยนต์ เช็คดูสภาพภายนอกว่า มีรอยฉีกขาด รอยแตก รอยบวมหรือไม่, เหมือนกันทั้ง 4 เส้นหรือไม่, ดอกยางยังสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่ ดูปีที่ผลิต รวมถึงตรวจสอบล้อแม็ก และน็อตยึดว่ามั่นคงแข็งแรงหรือไม่
- ทดลองขับจริง
ลองเข้าเกียร์ D (สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ) แล้วเหยียบเบรคค้างไว้ ลองดูว่ามีอาการสั่นมากน้อยขนาดไหน ในรอบเดินเบามีอาการกระตุกหรือไม่ เสียงของเครื่องยนต์เป็นอย่างไร รวมถึงอัตราเร่ง อุณหภูมิหม้อน้ำว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่, ตรวจสอบระบบพวงมาลัย, ระบบช่วงล่าง และระบบเบรค ว่าทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่ ทั้งนี้การทดลองขับ ขึ้นอยู่กับลักษณะของรถแต่ละรุ่น และสไตล์การขับของแต่ละคนด้วย
- เอกสารประจำรถยนต์ต้องครบ
โดยเฉพาะสมุดคู่มือการจดทะเบียน และสมุดการรับประกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่ารถคันนี้ผ่านมาแล้วกี่มือ และยังสามารถตรวจว่ารถคันนั้น ผ่านการซ่อม การเข้าศูนย์ตรวจเช็คตามระยะหรือไม่
- หลังตกลงซื้อขายรีบเข้าศูนย์บริการ
แนะนำรีบนำรถเข้าศูนย์บริการ หลังจากที่ตกลงซื้อขายเรียบร้อยแล้ว เพื่อตรวจเช็คอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะระบบภายในต่างๆ อาจมีจุดที่ชำรุดเพิ่มเติม เพื่อให้รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งาน สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง