เราคงพอจะรู้กันแล้วว่า coolant คือ น้ำยาหล่อเย็นที่เอาไว้เติมหม้อน้ำ แต่รู้หรือไม่ว่าน้ำยาหล่อเย็นทำหน้าที่อะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง เราได้รวบรวมรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้ำยาหล่อเย็นมาไว้ให้ที่นี่แล้ว
Q: coolant มีกี่ประเภท?
coolant หรือน้ำยาหล่อเย็น หากแบ่งตามการใช้งานจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
- น้ำยาหล่อเย็นผสมเสร็จ จะเป็นแบบพร้อมใช้งาน โดยมักบรรจุเป็นแกลลอนใหญ่ เช่น 4 ลิตร 6 ลิตร เป็นต้น เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำไปเติมในหม้อน้ำได้ทันทีโดยไม่ต้องผสมน้ำเพิ่ม โดยน้ำยาหล่อเย็นประเภทนี้จะใช้งานสะดวก แต่ต้องซื้อให้ได้ปริมาณเพียงพอกับความจุหม้อน้ำของรถยนต์ที่ใช้งาน
- น้ำยาหล่อเย็นแบบหัวเชื้อ จะเป็นแบบที่ต้องเอามาผสมน้ำตามอัตราส่วนที่กำหนด แบบนี้จะประหยัดกว่าและพกพาง่ายกว่า แต่อาจต้องคำนวณปริมาณส่วนผสมที่ถูกต้อง เหมาะกับผู้ชำนาญ หรือคนที่เติมเป็นอยู่แล้ว แต่ไม่เหมาะกับมือใหม่เพราะจะยุ่งยากกว่า
Q: น้ำยาหล่อเย็น จุดเดือดสูงกว่าน้ำเปล่า จริงหรือ?
เราได้เรียนมาตั้งแต่เล็กๆ ว่าน้ำเปล่ามีจุดเดือดอยู่ที่ 100 องศาเซลเซียส แต่ด้วยจุดเดือดที่ 100 อาจไม่ส่งผลดีต่อเครื่องยนต์ เพราะจะทำให้เครื่องร้อนเร็วและระบายความร้อนได้ไม่ทัน น้ำยาหล่อเย็นจึงมีจุดเดือดที่สูงกว่า อาจถึง 150 องศา หรือมากน้อยกว่านั้นแล้วแต่คุณสมบัติของแต่ละยี่ห้อ แต่ที่แน่ๆ คือ จุดเดือดสูงกว่าน้ำเปล่ามาก ทำให้เครื่องยนต์ไม่ร้อนเร็ว สามารถระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Q: สีของน้ำยาหล่อเย็น ช่วยเรื่องอะไร?
สังเกตไหม? ทำไมน้ำยาหล่อเย็นถึงมีสีสันสดใสขนาดนั้น บางทีก็เห็นเป็น สีเขียว สีชมพู สีสะท้อนแสง ซึ่งการที่น้ำยาหล่อเย็นมีสีสะท้อนแสงแบบนี้ ช่วยให้เราสามารถหาจุดที่มีรอยรั่วได้ง่ายขึ้น หากหม้อน้ำรั่ว หม้อน้ำแตก แล้วไม่รู้ว่ารั่วที่จุดไหน ถ้าเป็นน้ำเปล่าอาจหาไม่เจอ ถ้าเป็นสีๆ แบบนี้ รั่วซึมตรงไหนก็เห็นชัดตรงนั้น และสามารถซ่อมแซมหม้อน้ำได้ง่ายขึ้น
Q: มีอะไรในน้ำยาหม้อน้ำ ที่น้ำเปล่าไม่มี
ในน้ำยาหล่อเย็นได้เติมสารเพิ่มประสิทธิภาพเข้าไปหลายตัว ที่จะทำให้น้ำยาหม้อน้ำทำหน้าที่ปกป้องดูแลหม้อน้ำได้อย่งดีที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วย
- สารป้องกันสนิม
- สารยับยั้งการกัดกร่อน
- สารป้องกันการเกิดคราบตะกรัน
- สารป้องกันการเกิดฟอง
- สารป้องกันการแข็งตัวในอุณหภูมิติดลบ
Q: ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นเมื่อไหร่?
ส่วนใหญ่แนะนำว่าควรเปลี่ยนเมื่อรถวิ่งเป็นระยะทางทุก 40,000-160,000 กม. หรือเปลี่ยนปีละครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ถ้าใช้รถตลอดเวลา จอดรถติดบ่อยๆ หรือรถเดินทางไกล อาจต้องเปลี่ยนเร็วกว่านี้