ขับรถขับรา ไม่ใช่ว่าจะดูแต่ความเร็วเครื่องยนต์อย่างเดียว รอบเครื่อง ก็ต้องรู้ เคยได้ยินมั้ย ว่าขับรถต้องรอรอบเครื่อง รอบเครื่องไม่ถึงรถเร่งไม่ทันขึ้น ถ้าวิ่งแซงจะลำบาก ดังนั้นเรามาดูกันว่ารอบเครื่องที่ว่าคืออะไร มีหน้าที่อย่างไร
รอบเครื่อง คืออะไร
รอบเครื่อง หรือ ความเร็วรอบรถยนต์ เป็นการวัดรอบการหมุนของเครื่องยนต์ โดยใน 1 รอบเครื่องจะมีวัฏจักรของการ ดูด อัด ระเบิด คาย โดอยรอบเครื่องจะมีหน่วยวัดเป็น รอบต่อนาที RPM (Revolutions per Minute) โดยรอบเครื่องยนต์ของรถยนต์จะเพิ่มขึ้นเมื่อเหยียบคันเร่ง
เราจะรู้ได้อย่างไร ว่ารถของเรามีรอบเครื่องเป็นอย่างไร
- ในการวัดรอบเครื่องยนต์ จะมีตัวแสดงรอบเครื่องบนหน้าปัดรถยนต์ ตั้งแต่เลข 0-8 ซึ่งตัวเลขนี้จะคูณด้วยหนึ่งพัน ถึงจะได้ค่ารอบต่อนาที เช่น ชี้ที่เลข 2 จะเท่ากับ 2,000 รอบ/นาที หรือ 2,000 rpm
- สำหรับรอบเดินเบา เข็มจะขึ้นเล็กน้อยไม่ถึงเลข 1 โดยรอบเครื่องจะอยู่ที่ 700-800 rpm ซึ่งถ้ารอบเดินเบาอยู่เกินเลข 1 ถือว่าสูงกว่าปกติ
- ยังมีตัวเลข 8-10 เป็นแถบสีแดง (ส้ม หรือเหลือง แล้วแต่หน้าปัดรถว่าจะเป็นสีอะไร) เป็นจุดที่รอบเครื่องไม่ควรชี้ไปถึง หากรอบเครื่องเกินเลข 8 ไปแล้วแสดงว่ามีการลากรอบสูงเกินไป จะทำให้เกิดการสึกหรอสูง และหากทำงานหนักมากอาจพังได้
- หากเป็นรถรุ่นใหม่ เมื่อรอบเครื่องสูงจะมีการตัดรอบให้เพื่อป้องกันการลากรอบไปจนพัง อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ควรเร่งเครื่องจนรอบสูงบ่อยๆ เพราะยิ่งจะทำให้พังเร็ว
รถที่ดีควรมีรอบเครื่องอยู่ที่เท่าไหร่
- สำหรับรถที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน การขับใช้งานปกติ รอบเปลี่ยนเกียร์ควรอยู่ที่ 2,500-3,000 rpm / ขับทางไกลควรอยู่ที่ 2,000-3,000 rpm
- สำหรับรถที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน การขับใช้งานปกติ ไม่บรรทุกหนัก รอบเปลี่ยนเกียร์ควรอยู่ที่ 2,000-2,500 rpm / ขับทางไกลควรอยู่ที่ 1,500-2,000 rpm
- สำหรับรถที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ ปรับจังหวะการเหยียบคันเร่งให้ได้รอบประมาณนี้ สังเกตโดยฟังเสียงการเปลี่ยนเกียร์ ว่าตอนที่เปลี่ยนเกียร์อยู่ที่รอบเท่าไหร่ จะเป็นการถนอมเกียร์ไปในตัว