รถ 10 ปี ต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง

รถ 10 ปี ต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง

ถึงจะเป็นรถเก่าก็ยังใช้งานได้ดี ถ้ารู้จักดูแล ไม่ว่าจะรถอายุ 10 ปี หรือมากกว่านั้น ถ้าดูแลดีๆ รถก็ยังคงอยู่คู่กับเราได้อีกนาน รถ 10 ปี ต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง มีอะไรควรต้องดูแล เพื่อจะได้ใช้งานต่อได้อีกหลายปี

สายพานไทม์มิ่ง

สำหรับรุ่นอาจจะใช้เป็นโซ่ แต่ยังมีอีกหลายรุ่นที่ใช้ระบบสายพานไทม์มิ่ง ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเสมอ สายพานไทม์มิ่งต้องคงอยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยแตก รอยขาด ถ้าหากสายพานขาดขึ้นมา อาจจะสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ส่วนอื่นๆ ได้ ซึ่งมีระยะการเปลี่ยนทุก 100,000 กิโลเมตร แต่ถ้ารถเก่าแล้วไม่เคยเช็คสายพานเลย ทางที่ดีควรเปลี่ยนให้เร็วที่สุด

สายคันเร่ง สายคลัตช์

ชิ้นส่วนนี้ ส่วนใหญ่ผู้ใช้งานมักจะละเลยเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนด้วย และไม่คิดว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญ ซึ่งถ้าปล่อยให้นานไป สายสลิงทั้งของคลัตช์และของคันเร่ง จะเสื่อมสภาพ และมีการยืดออก จึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ โดยปกติแล้วจะมีการเปลี่ยนสายคลัตช์ สายคันเร่งทุกๆ 5 ปี หรือถ้าให้ดีควรเปลี่ยนทุก 150,000 กิโลเมตร  สำหรับรถที่ใช้งานนานถึง 10 ปี ถ้าไม่เคยเปลี่ยนเลย ควรเปลี่ยนอย่างยิ่ง

รถ 10 ปี ต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง เปลี่ยนหัวเทียน

สำหรับรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน จะต้องมีหัวเทียนเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการจุดระเบิดเครื่องยนต์ ถ้าหัวเทียนบอด หัวเทียนเสื่อมสภาพ รถก็ไปต่อไม่ได้ หรือไปได้ก็มีอาการติดๆ ขัดๆ เครื่องสั่นเพราะจุดระเบิดได้ไม่เต็มที่ โดยปกติระยะเปลี่ยนหัวเทียนถ้าไม่เคยเปลี่ยนเลย อยู่ที่ระยะ 100,000 กม. ทางที่ดีควรเปลี่ยนใหม่ยกชุด เพราะหากเปลี่ยนทีละตัว ก็จะเริ่มเสื่อมไปทีละตัว ทำให้รถมีอาการขึ้นมาอีกเรื่อยๆ

Air Flow Sensor และ ปีกผีเสื้อ

รถบางคันถึงจะเป็นรถเก่าก็ดูแลอย่างดี แต่ลืมไปว่าจุดเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องเช็คเช่นเดียวกัน หากมีอาการรถเร่งไม่ค่อยออก หรือเวลาเร่งแล้วมีเสียงดัง ควรให้ช่างช่วยเช็คส่วนของ Air flow sensor เอาออกมาล้างทำความสะอาด รวมไปถึงทำความสะอาดปีกผีเสื้อไปพร้อมๆ กันเลย จะทำให้รถวิ่งดีขึ้นเยอะ

เปลี่ยนกรองอากาศ

กรองอากาศ ทั้งในส่วนของกรองอากาศเครื่องยนต์ และกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ ล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่ดักจับฝุ่นละอองและเศษสิ่งสกปรก เพื่อให้อากาศที่เข้าไปในระบบเป็นอากาศที่สะอาดที่สุด แต่ถ้าใช้ไปนานๆ แล้วกรองสกปรกหรือกรองตันก็อาจทำหน้าที่ในการดักจับได้ไม่ดี อากาศไม่สะอาด ส่งผลทั้งต่อการใช้งานและต่อลมหายใจของเรา ซึ่งโดยปกติแล้วการเปลี่ยนกรองอากาศ ควรเปลี่ยนทุกๆ 20,000 กม. แต่ถ้ารถใครลุยๆ ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ อาจต้องเปลี่ยนกรองบ่อยกว่าเดิม ทั้งนี้หากไม่สกปรกมากจนเกินไป สามารถเปิดเอากรองออกมาเป่าลมช่วยได้ 

เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และกรองน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องสำคัญมาก รถเก่าถ้าไม่ค่อยได้ดูแลแล้วปล่อยใช้น้ำมันเครื่องเก่ามานาน อาจทำให้เครื่องพังได้ ทั้งความหนืดที่มีมากขึ้น ความสกปรกจากเขม่าควัน ฝุ่นผง เศษโลหะต่างๆ ก็จะวนเวียนอยู่ในระบบไม่ไปไหน จึงสมควรต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องได้แล้ว และที่สำคัญเมื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก็ควรจะเปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องไปพร้อมๆ กันเลย จะได้กรองที่ใหม่และสะอาด พร้อมดักจับสิ่งสกปรกจากน้ำมันเครื่องได้เต็มประสิทธิภาพ

เปลี่ยนน้ำมันเกียร์

รถใช้งานมานานหลายปี เกียร์จะเริ่มไปแล้วแหละ ถ้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์เลย หรือนานๆ เปลี่ยนที จนเกินระยะเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเกียร์จะมีความสกปรกมาก รวมไปถึงมีความหนืดมากขึ้น ทำให้เกิดการเสียดสีภายในชิ้นส่วนเล็กๆ ที่อยู่ในระบบเกียร์ ทำให้ฟันเฟืองและชิ้นส่วนต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ดังนั้นจึงควร้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เพื่อให้เกียร์กลับมาใช้งานได้ดีดังเดิม

เปลี่ยนน้ำมันเบรก

มีเกียร์แล้วก็ต้องมีเรื่องของเบรก น้ำมันเบรกก็สำคัญ หากการหล่อลื่นภายในระบบเบรกทำได้ไม่ดีก็อาจทำให้การเบรกติดขัดและส่งผลต่อการขับขี่ได้ เพราะน้ำมันเบรกจะทำหน้าที่ส่งแรงดันไปยังปั๊มเบรกเพื่อให้รถหยุด ถ้าแรงดันไม่พออาจเบรกได้ช้ากว่าปกติ เบรกลึก หรือใช้แรงในการเบรกมากกว่าเดิม ไปจนถึงเบรกไม่ค่อยอยู่ โดยปกติควรตรวจเช็คน้ำมันเบรกทุกๆ 1 ปี หากใช้งานมานานแล้วไ่ม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเบรกเลย ก็ควรรีบเปลี่ยนโดยเร็ว

เปลี่ยนผ้าเบรก

ในกระบวนการเบรกหรือหยุดรถนั้น มีชิ้นส่วนสำคัญก็คือ ผ้าเบรก และ จานเบรก โดยผ้าเบรกจะไปช่วยเพิ่มแรงเสียดทานกับจานเบรก เพื่อให้รถลดความเร็วลง หากการขับขี่ปกติก็ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทุกๆ 4-5 ปี แต่ถ้าเบรกแล้วรู้สึกว่าเบรกไม่ค่อยอยู่ เบรกมีเสียงดังเหมือนเหล็กขูดกัน แสดงว่าผ้าเบรกหมดแล้ว ต้องรีบเปลี่ยนผ้าเบรก ก่อนที่จะเบรกไม่อยู่แล้วเกิดอันตรายในการขับขี่

ยางรถยนต์

ยางรถยนต์ก็มีการเสื่อมสภาพตามระยะเวลาและการใช้งาน ถึงแม้ว่ารถคุณจะจอดไม่ค่อยได้ขับ ดอกยางเต็ม แต่หากยางรถยนต์แข็งอาจทำให้ยางแตกได้ง่ายกว่ายางที่มีความยืดหยุ่น ส่วนรถยนต์ที่ใช้งานขับขี่อยู่ตลอดเวลา ยางรถยนต์ก็จะเริ่มสึก ดอกยางเหลือน้อย ดอกยางไม่เท่ากัน ทำให้การยึดเกาะถนนทำได้ไม่ดี ซึ่งควรเปลี่ยนยางทุกๆ 2 ปี หรือเมื่อถึงระยะ 50,000 – 100,000 กม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพยางและการใช้งาน

สนใจช้อปผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นยูคอน ได้ที่